วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

Search engine

Search Engine คืออะไร ?


              Search Engine คือ เครื่องมือการค้นหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ต ที่ทุกคนสามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตก็ได้ โดย กรอก ข้อมูลที่ต้องการค้นหา หรือ Keyword (คีเวิร์ด) เข้าไปที่ช่อง Search Box แล้วกด Enter แค่นี้ข้อมูลที่เราค้นหาก็จะถูกแสดงออกมาอย่างมากมายก่ายกอง เพื่อให้เราเลือกข้อมูลที่เราโดนใจที่สุดเอามาใช้ งาน โดยลักษณะการแสดงผลของ Search Engine นั้นจะทำการแสดงผลแบบ เรียงอันดับ Search Results ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเรา






Search Engine มีกี่ประเภท ?

               Search Engine มี?3?ประเภท (ในวันที่ทำการศึกษาข้อมูลนี้และได้ทำการรวบรวมข้อมูล ผมสรุปได้?3 ประเภทหลัก) โดยมีหลักการทำงานที่ต่างกัน และ การจัดอันดับการค้นหาข้อมูลก็ต่างกันด้วยครับ เพราะมีลักษณะการทำงานที่ต่างกันนี่เองทำให้ โดยทั่ว ๆ ไปแล้วจะมีการแบ่งออกเป็นหลาย ๆ ประเภทด้วยกัน แต่ที่พอสรุปได้ก็มีเพียง?3 ประเภทหลัก ๆ ดังที่จะนำเสนอต่อไปนี้ครับ

             ประเภทที่ 1 Crawler Based Search Engines
             Crawler Based Search Engines คือ เครื่องมือการค้นหาบนอินเตอร์เน็ตแบบอาศัยการบันทึกข้อมูล และ จัดเก็บข้อมูลเป็นหลัก ซึ่งจะเป็นจำพวก Search Engine ที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากให้ผลการค้นหาแม่นยำที่สุด และการประมวลผลการค้นหาสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้มีบทบาทในการค้นหาข้อมูลมากที่สุดในปัจจุบัน
โดยมีองประกอบหลักเพียง 2 ส่วนด้วยกันคือ
1. ฐานข้อมูล โดยส่วนใหญ่แล้ว Crawler Based Search Engine เหล่านี้จะมีฐานข้อมูลเป็นของตัวเอง ที่มีระบบการประมวลผล และ การจัดอันดับที่เฉพาะ เป็นเอกลักษณ์ของตนเองอย่างมาก
2. ซอฟแวร์ คือเครื่องมือหลักสำคัญที่สุดอีกส่วนหนึ่งสำหรับ Serch Engine ประเภทนี้ เนื่องจากต้องอาศัยโปรแกรมเล็ก ๆ (ชนิดที่เรียกว่า จิ๋วแต่แจ๋ว) ทำหน้าที่ในการตรวจหา และ ทำการจัดเก็บข้อมูล หน้าเพจ หรือ เว็บไซต์ต่าง ๆ ในรูปแบบของการทำสำเนาข้อมูล เหมือนกับต้นฉบับทุกอย่าง ซึ่งเราจะรู้จักกันในนาม Spider หรือ Web Crawler หรือ Search Engine Robots
ตัวอย่างหนึ่งของ Crawler Based Search Engine ชื่อดัง
http://www.google.com



Crawler Based Search Engine ได้แก่อะไรบ้าง
จะยกตัวอย่างคร่าว ๆ ให้ได้เห็นกันเอาแบบที่เรา ๆ ท่าน ๆ รู้จักหนะครับก็ได้แก่? Google , Yahoo, MSN, Live, Search, Technorati (
สำหรับ blog)?ครับ ส่วนลักษณะการทำงาน และ การเก็บข้อมูงของ Web Crawler หรือ Robot หรือ Spider นั้นแต่ละแห่งจะมีวิธีการเก็บข้อมูล และ การจัดอันดับข้อมูลที่ต่างกันนะครับ เช่น คุณทำการค้นหาคำว่า “Search Engine คืออะไร” ผ่านทั้ง 5 แห่งที่ผมให้ไว้จะได้ผลการค้นหาที่ต่างกันครับ

             ประเภทที่ 2 Web Directory หรือ Blog Directory
             Web Directory หรือ Blog Directory คือ สารบัญเว็บไซต์ที่ให้คุณสามารถค้นหาข่าวสารข้อมูล ด้วยหมวดหมู่ข่าวสารข้อมูลที่เกี่ยวข้องกัน ในปริมาณมาก ๆ คล้าย ๆ กับสมุดหน้าเหลืองครับ ซึ่งจะมีการสร้าง ดรรชนี มีการระบุหมวดหมู่ อย่างชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้การค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ตามหมวดหมู่นั้น ๆ ได้รับการเปรียบเทียบอ้างอิง เพื่อหาข้อเท็จจริงได้ ในขณะที่เราค้นหาข้อมูล เพราะว่าจะมีเว็บไซต์มากมาย หรือ Blog มากมายที่มีเนื้อหาคล้าย ๆ กันในหมวดหมู่เดียวกัน ให้เราเลือกที่จะหาข้อมูลได้ อย่างตรงประเด็นที่สุด (ลดระยะเวลาได้มากในการค้นหา) ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างดังนี้


ODP Web Directory ชื่อดังของโลก ที่มี Search Engine มากมายใช้เป็นฐานข้อมูล Directory
1. ODP หรือ Dmoz ที่หลาย?ๆ คนรู้จัก ซึ่งเป็น Web Directory ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Search Engine หลาย ๆ แห่งก็ใช้ข้อมูลจากที่แห่งนี้เกือบทั้งสิ้น เช่น
Google, AOL, Yahoo, Netscape และอื่น ๆ อีกมากมาย ODP มีการบันทึกข้อมูลประมาณ 80 ภาษาทั่วโลก รวมถึงภาษาไทยเราด้วยครับ (URL : http://www.dmoz.org )
2. สารบัญเว็บไทย
SANOOK ก็เป็น Web Directory ที่มีชื่อเสียงอีกเช่นกัน และเป็นที่รู้จักมากที่สุดในเมืองไทย (URL : http://webindex.sanook.com )
3. Blog Directory อย่าง
BlogFlux Directory ที่มีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับบล็อกมากมายตามหมวดหมู่ต่าง ๆ หรือ Blog Directory อื่น ๆ ที่สามารถหาได้จาก Make Many แห่งนี้ครับ

              ประเภทที่ 3 Meta Search Engine
              Meta Search Engine คือ Search Engine ที่ใช้หลักการในการค้นหาโดยอาศัย Meta Tag ในภาษา HTML ซึ่งมีการประกาศชุดคำสั่งต่าง ๆ เป็นรูปแบบของ Tex Editor ด้วยภาษา HTML นั่นเองเช่น ชื่อผู้พัฒนา คำค้นหา เจ้าของเว็บ หรือ บล็อก คำอธิบายเว็บหรือบล็อกอย่างย่อ
              ผลการค้นหาของ Meta Search Engine นี้มักไม่แม่นยำอย่างที่คิด เนื่องจากบางครั้งผู้ให้บริการหรือ ผู้ออกแบบเว็บสามารถใส่อะไรเข้าไปก็ได้มากมายเพื่อให้เกิดการค้นหาและพบเว็บ หรือ บล็อกของตนเอง และ อีกประการหนึ่งก็คือ มีการอาศัย Search Engine Index Server หลาย?ๆ แห่งมาประมวลผลรวมกัน จึงทำให้ผลการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ไม่เที่ยงตรงเท่าที่ควร.

              มาถึงตอนนี้หลาย ๆ ท่านที่เคยสงสัยว่า “Search Engine คืออะไร” คงได้หายสงสัยกันไปบ้างแล้วและเริ่มเข้าใจหลักการทำงานของ Search Engine กันมากขึ้น เพื่อจะได้เลือกใช้อย่างถูกต้องและตรงกับความต้องการของเราในการค้นหาข่าวสารข้อมูล สำหรับบทความ “Search Engine คืออะไร” นี้หากขาดตกบกพร่องประการใด หรือ ไม่ได้รับข้อมูลที่ชัดเจนท่านสามารถติชม หรือ ให้ข้อเสนอแนะต่าง ๆ ผ่าน Comments ของบทความชุดนี้เพื่อจะได้ทำการปรับปรุงและแก้ไขให้ได้ข้อมูลที่ดีที่สุดและ เป็นประโยชน์สำหรับ ผู้ที่ทำการค้นคว้างข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้งาน

หลัการทำงานเสิร์ชเอนจิ้น
           หลักการทำงานของเสิร์ชเอนจิ้น โดยทั่วไปแล้ว หลักการที่สำคัญ และนับว่าเป็นหัวใจหลักของ โปรแกรมเสิร์ชเอนจิ้น จะมีลักษณะการแบ่ง การทำงานออกเป็น 3 ขั้นตอนดังต่อไปนี้

  • การตรวจค้นหาข้อมูล เพื่อแยกประเภทของข้อมูลที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกัน
  • รวบรวมข้อมูล ที่ได้แยกเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องกันไว้ที่เดียวกัน
  • แสดงผลการค้นหาข้อมูล ที่มีความเหมือนและมีความคล้ายคลึงกัน
     หลักการทำงานของโปรแกรม เสิร์ชเอนจิ้น จะเริ่มด้วยการส่ง Robot หรือบางครั้งเรียกว่า Spider ไปตรวจสอบรวบรวมเก็บข้อมูล ในส่วนของเว็บเพจ หรือเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีอยู่จำนวนมากในฐานข้อมูล บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยลักษณะการทำงาน ของตัวโปรแกรมที่ไปตรวจสอบ จะตรวจสอบ ทุกส่วนภายในเว็บนั้นๆ และเก็บข้อมูลที่เก็บอยู่ภายในเว็บไซต์ ตั้งแต่หน้าแรก และไล่ไปตามลิ้งต่างๆ บนหน้าเว็บนั้นๆ จากนั้นจะเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ เข้าสู่ฐานข้อมูลของเสิร์ชเอนจิ้น เพื่อจัดเข้าเป็นหมวดหมู่ สำหรับ การค้นหาของผู้ใช้ต่อไป
     เมื่อผู้ใช้ต้องการจะค้นหาข้อมูลบางอย่าง เช่น ต้องการค้นหาข้อมูล เกี่ยวกับ แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ อาจจะพิมพ์คำค้น หรือ คีย์เวิร์ด ลงไปในโปรแกรม ของเสิร์ชเอนจิ้น ด้วยคำว่า “สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดกำแพงเพชร” เมื่อเริ่ม การค้นหา เสิร์ชเอนจิ้น จะทำการประมวลผล หาข้อมูล จากเนื้อหาของหน้าเว็บไซต์ ที่ได้เก็บรวบรวมไว้ภายในฐานข้อมูล ที่ตรงและมีความใกล้เคียง หรือคล้ายกับ คีย์เวิร์ด และแสดงผลออกมาเป็นลำดับ จากข้อมูลที่ตรงกับผล ของการค้น จากมากไปหาน้อย

เสิร์ชเอนจิ้น ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
        
              ปัจจุบันมีผู้ที่ ต้องการเก็บรวบรวม หรือจัดทำ โปรแกรมเสิร์ชเอนจิ้น เพื่อทำการเก็บ รวบรวมข้อมูลจาก เว็บไซต์ ต่างๆ ไว้เป็นฐานข้อมูล ในการให้ความรู้ และง่ายต่อการการสืบค้น หาข้อมูล ตามความต้องการ ของผู้ใช้ อินเตอร์เน็ต เป็นจำนวนมาก แต่สำหรับ เว็บเสิร์ชเอนจิ้น ที่ได้รับความนิยม มากที่สุด ในปัจจุบันคือ Google, Yahoo! Search และ MSN Search
             ประวัติและหลักการทำงานของ เว็บเสิร์ชเอนจิ้น Google มีที่มาจาก วิทยานิพนธ์ของนาย Larry Page และนาย Sergey Brin ที่เป็นนักศึกษา ปริญญาเอก แห่งมหาวิทยาลัย Stanford ซึ่งทั้งคู่ได้มีความคิด สมมุติฐานเกี่ยวกับ โปรแกรมเสิร์ชเอนจิ้น ที่แสดงผลการค้นหา ที่มีความสัมพันธ์ กับเว็บไซต์ ที่มีประสิทธิภาพขึ้นกว่า การทำงานของเสิร์ชเอนจิ้น ในรูปแบบเดิม จากแนวคิดดังกล่าว ทำให้เป็นรากฐานของการสร้าง โปรแกรมเสิร์ชเอนจิ้นของ Google โดยจะให้น้ำหนักที่ว่า เว็บไซต์ใด หรือหน้าเว็บเพจใด ที่มีปริมาณ ลิงค์ หรือมีการเชื่อมโยงลิงค์ จากหน้าเว็บเพจอื่นมากเท่าได แสดงว่าเว็บนั้นๆ มีคุณภาพที่ดี ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้แนวคิดดังกล่าวเป็น การวางรากฐานของ โปรแกรม เสิร์ชเอนจิ้น ของ Google ในเวลาต่อมานั่นเอง โดย ในเดือน กันยายน ค.ศ.1998 บริษัท Google, Inc. ได้ทำการจดทะเบียน และได้ถือกำเนิดขึ้น           หลักการเขียนบทความ หรือเนื้อหาเว็บไซต์ให้ถูกหลักเสิร์ชเอนจิ้น นั้นถือว่าเป็น ศาสตร์และศิลป์ อีกอย่างหนึ่งที่ นักเขียนเว็บไซต์ ต้องคำนึงถึง และพยายาม ชี้ให้เห็นถึง ความโดดเด่น ให้ผู้อ่านเกิดความสนใจ ในการบริการ หรือสินค้านั้นๆ
          นอกจากการมีเนื้อหาของเว็บไซต์ที่ดีแล้ว หลักของการทำ SEO (Search Engine Optimization) ผู้เขียนต้องเขียนเนื้อหาให้ มีความกลมกลืนกับ คีย์เวิร์ด ที่อยู่ในส่วนของ Title Tag  เพื่อรองรับกับเสิร์ชเอนจิ้น ให้สามารถเข้ามา ตรวจและทำการเก็บ ข้อมูลบนเนื้อหาของหน้าเว็บไซต์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทคนิคสำหรับ หลักการเขียนบทความ (Copywriting) ที่นักเขียนเว็บไซต์ ที่ไม่ควรมองข้าม

  • ในหนึ่งหน้าเว็บเพจนั้น การใส่เนื้อหาของเว็บเพจ ที่เหมาะสมควรประมาณ 250 – 350 คำ
  • ต้องเขียนเนื้อหาของเว็บให้ มีความกลมกลืน โดยการแทรก คำค้น หรือ คีย์เวิร์ด ไว้ภายในเนื้อหาของเว็บไซต์ด้วย
  • คีย์เวิร์ดที่วางอยู่ภายในเว็บไซต์ เพื่อเป็นการเพิ่มความน่าสนใจ ควรจะมีตัวหนา H1 อยู่ตอนบนของเว็บไซต์ และการมีคีย์เวิร์ดที่เป็น ลิ้งอยู่ภายในเว็บไซต์ ด้วยก็จะเป็นการดี อีกด้วย
  • ภายในหน้าเว็บเพจ ควรจะวาง คีย์เวิร์ดไว้ในส่วน ALT เพื่อเป็นการ ตั้งชื่อให้กับรูปภาพ ที่เราได้นำมาแสดงภายในเว็บเพจ ด้วย
ชนิดของเสิร์ชเอนจิ้นมาเก็ตติ้ง
          
           เสิร์ชเอนจิ้น มาเก็ตติ้ง (SEM) เป็น การตลาดออนไลน์ ประเภทหนึ่ง ที่ช่วย เพิ่มการแสดงหน้าเว็บไซต์ ทำให้เว็บไซต์ ของเราเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เสิร์ชเอนจิ้นมาเก็ตติ้ง แบ่งออกเป็น 2 ชนิดได้แก่
  • SearchEngine Optimization (SEO) เป็นการเรียนรู้ การปรับแต่งเว็บไซต์ โดยทำตามเทคนิคต่างๆ เช่น การใช้คีย์เวิร์ด ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ การใช้ Web CEO ช่วยหาจุดบกพร่องของเว็บไซต์ ฯลฯ เพื่อเป็นการช่วยให้เว็บไซต์ หรือหน้าเว็บเพจ ติดอันดับต้นๆ ทางด้านซ้ายของเว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้น ไม่ว่าจะเป็น Google, Yahoo! Search, MSN Search เพราะเวลาที่คนต้องการค้นหาข้อมูลบางอย่าง ที่ต้องการรู้ จะพิมพ์คีย์เวิร์ด ลงไปในเว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้น จากนั้นเว็บเสิร์ชเอนจิ้น จะทำการประมวลผล แสดงผลเว็บไซต์ ที่มีคีย์เวิร์ดตรงกับเว็บไซต์ของเรา
  • Pay Per Click Advertising (PPC) หรือเรียกอีกอย่างว่า Search Engine Advertising ซึ่งเป็นการจ่ายเงินลงโฆษณาให้กับ เสิร์ชเอนจิ้น และทำตามเทคนิคต่างๆ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ ทางด้านขวา หรือในส่วนที่เรียกว่า Sponsored Link ของเว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้น ไม่ว่าจะเป็น Google, Yahoo! Search, MSN Search ในการคิดราคา อัตราการลงโฆษณา จะมีความแตกต่างกัน โดยผู้ลงโฆษณาแต่ละราย ต้องไปประมูล (Bid) คีย์เวิร์ดแข่งขันกัน ถ้าใครเสนอราคาสูงกว่า ก็จะได้ตำแหน่งที่ดีกว่าเป็นต้น ถ้าจะใช้วิธีนี้ในการโปรโมทเว็บไซต์ ลองเข้าไปศึกษา Google AdWords จะช่วยได้มากเลยครับ
 หลักการออกแบบเว็บไซต์ ให้ถูกหลักเสิร์ชเอนจิ้น

               ผลจากการสอบถาม เว็บมาสเตอร์ ในประเทศไทย ส่วนใหญ่ มักจะมีการออกแบบเว็บไซต์ ให้มีความสวยงาม และมีลูกเล่น ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การดีไซน์ ที่ใช้เทคนิค Flash, Frames หรือ JavaScript โดยที่ไม่ได้ เน้นความง่ายต่อการ มาเก็บข้อมูล ในเว็บไซต์ ของเสิร์ชเอนจิ้น แต่เน้นความสวยงาม ของเว็บไซต์อย่างเดียว
หลักการออกแบบเว็บไซต์ ให้ถูกหลักของเสิร์ชเอนจิ้น นั้น จะช่วยให้เว็บไซต์ ของเรา ได้รับการจัดเก็บข้อมูล (Index) จากเสิร์ชเอนจิ้นได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญ จะช่วยให้เว็บไซต์ของเรา ได้รับการจัดอันดับที่ดี ในเสิร์ชเอนจิ้นได้
             โปรแกรม JavaScript เป็นอีกโปรแกรมหนึ่ง ที่เว็บมาสเตอร์ นิยมนำมาใช้ ในการสร้างเว็บเพจ เพื่อสร้างสีสันให้กับเว็บไซต์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Pop-Up เพื่อตรวจสอบข้อมูลก่อนที่จะมีการ Submit ในแบบฟอร์ม, Rollovers/Mouseovers, Drop-Down Navigation เมนู ฯลฯ  
             โดยปรกติแล้ว การใช้ JavaScript เสิร์ชเอนจิ้น จะไม่สามารถที่จะ ตามลิ้งไปเก็บข้อมูล ของเว็บเพจหน้าต่างๆ ที่ฝังตัวอยู่ใน JavaScript ซึ่งจะส่งผลทำให้เว็บไซต์ของเรา ไม่ได้รับการเก็บข้อมูล (Index) จากเสิร์ชเอนจิ้น และยั้งทำให้ ต้องเสียเวลาในการดาวโหลด เว็บเพจหน้านั้นๆ นานขึ้นกว่าปรกติ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดขยะ JavaScript ขึ้นเป็นจำนวนมาก เพราะกว่าที่ Robot ของเว็บเสิร์ชเอนจิน จะเจอตัวหนังสือตัวแรกของ Body ก็ต้องเสียเวลา อ่านขยะที่เกิดจาก JavaScript ประมาณกลางๆ หรือด้านล่างๆ ของ HTML Code ของเว็บเพจนั้นๆ  
             วิธีแก้ไขคือให้นำ JavaScript ไปใส่ในไฟล์แยกออกต่างหาก โดยตัดเอา เนื้อหาระหว่าง <script>………</script> ไปใส่ใน Text Editor เช่น Notepad จากนั้นให้ทำการ Save ชื่อไฟล์ให้มี นามสกุลเป็น .js แล้วใช้คำสั่ง สำหรับเรียกใช้ JavaScript ที่ต้องการนั้นมาแสดงผล (สมมติว่าเก็บไฟล์ JavaScript ชื่อว่า Test.js ไว้โฟร์เดอร์ images) สามารถเรียกใช้ไฟล์ ด้วยคำสั่งดังต่อไปนี้
<script language=”JavaScript” src=”images/Test.js” type=”text/javascript”> </script>


ปัญหาที่เสิร์ชเอนจิ้น ไม่ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ ที่ใช้Flash
          
            โปรแกรม Flash หรือ Macromedia Flash เป็นโปรแกรมที่สร้างขึ้นมา เพื่อให้เว็บบราวเซอร์ แสดงผล ภาพแบบเวกเตอร์ ภาพแบบราสเตอร์ และยังสามารถเล่น ไฟล์วีดิโอ และสามารถ เล่นเสียงได้อีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ เทคโนโลยี Flash หรือ Macromedia Flash ได้รับความนิยม จากเว็บมาสเตอร์ ทั้งหลาย ที่ต้องการ นำเสนอผลงาน ในรูปแบบแอนิเมชั่น และ อินเตอร์แอกทีฟในเว็บ
ทำไมการสร้างเว็บไซต์ด้วย Flash หรือ Macromedia Flash จึงเป็นปัญหาต่อ เสิร์ชเอนจิ้น จากประสบการณ์ ที่ผ่านมาทำให้ทราบว่า ปัญหาที่เสิร์ชเอนจิ้น ไม่ให้ ความสำคัญกับเว็บไซต์ ที่ใช้ Flash เนื่องมาจากเหตุผล ดังต่อไปนี้
  • การใช้ Flash ทำเว็บไซต์ จะส่งผลทำให้ เนื้อหาที่เป็นตัวหนังสือ (Text) มีอยู่น้อยมาก หรือจากที่ผู้เขียนเคยลองเข้าไปดู บางเว็บที่ใช้ Flash ทำเว็บไซต์ ไม่มีเนื้อหาที่เป็นตัวหนังสือเลย ด้วยเหตุนี้ทำให้ เสิร์ชเอนจิ้น ไม่สามารถเข้าถึงตัวหนังสือ (Text) เพื่อเก็บในฐานข้อมูลของ เสิร์ชเอนจิ้นได้ และไม่สามารถทำการ Index ได้
  • นอกจากการใช้ Flash ทำเว็บไซต์ จะมีเนื้อหาของเว็บน้อยแล้ว ยังพบ อีกว่าลิ้ง ที่ออกไปหน้าอื่นๆ นั้นแทบจะไม่มีเลย ซึ่งเป็นปัญหาทำให้ Spider หรือโปรแกรม Robot ของเว็บเสิร์ชเอนจิ้น ไม่สามารถเข้าถึง และทำการ อินเดกช์ (Index) เว็บเพจอื่นๆ ได้
  • หลังจากที่เว็บบราวเซอร์ แสดงผลหรือโชว์ Flash Animation เสร็จเรียบร้อย แล้วโปรแกรม Flash จะทำการ Redirect เพื่อไปยัง หน้าถัดไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งลักษณะนี้ จะทำให้ Spider หรือโปรแกรม Robot ของเว็บเสิร์ชเอนจิ้นมองว่า เป็นการเข้าข่ายการสแปมได้
         วิธีในการแก้ปัญหาเพื่อให้เว็บที่ใช้ Flash หรือ Macromedia Flash ได้รับการ Index จากเว็บเสิร์ชเอนจิ้น มีหลักในการ Optimization ที่ถูกต้องคือ ให้เว็บมาสเตอร์ ทำการสร้างเว็บเพจออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ การสร้างแบบ Flash และการสร้างแบบ HTML หลักการมีอยู่ว่า ให้ทำการสร้างเว็บโฮมเพจ ที่มีเนื้อหา (Text) อยู่อย่างครบถ้วน โดยมีการแทรกคีย์เวิร์ด ต่างๆ ไว้ให้ถูกต้อง ตามหลักการ ของการทำ SEO โดยใช้ HTML จากนั้นเมื่อผู้เข้ามาชมเว็บไซต์ ต้องการเข้าไปดู ในเวอร์ชั่นของ Flash ก็สามารถคลิกเข้าไปดูได้
            





ที่มา   :      http://www.template-stores.com/Search-Engine-Marketing/Google-Search-Engines-Tips.html
    http://krukoon.wordpress.com/2010/04/19/search-engine-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3/
    http://www.youtube.com/watch?v=AyXMOTHIqg8




วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

พ.ร.บ.เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2550

พ.ร.บ. เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  2550
         พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  พ.ศ. 2550 พ.ร.บ.ฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา  เมื่อวันที่  18  มิถุนายน  2550  และมีผลบังคับใช้  ตั้งแต่วันที่  18กรกฎาคม 2550
เป็นต้นไป
          ทำไมต้องมี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
          เพราะคอมพิวเตอร์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิติประจำวันมีการใช้คอมพิวเตอร์โดยมิชอบ ส่งผลเสียต่อบุคคลอื่นมีการใช้งานคอมพิวเตอร์ในการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือลามกอนาจาร จึงต้องมีการควบคุม
          

          ความผิดที่เข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ  ฉบับนี้
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ
การเปิดเผยข้อมูลมาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์  ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยไม่มชอบ
การดับรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
การทำให้เลียหาย  ทำลาย  แก้ไข  เปลี่ยนแปลง  เพิ่มเติม  ข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยไม่ชอบ
การกระทำเพื่อให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
การส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์รบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของคนอื่นโดยปกติสุข
การจำหน่ายชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด
การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำความผิดอื่น  ผู้ให้บริการจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิด
การตกแต่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพของบุคคล

          ผู้ให้บริการที่ระบุใน พ.ร.บ.  นี้คือบุคคลใด

            ผู้ให้บริการเช่าระบบคอมพิวเตอร์หรือให้เช่าบริการโปรแกรมประยุกต์ ( Host  Service Provider )ผู้ให้บริการข้อมูลคอมพิวเตอร์ผ่าน application  ต่างๆ  ที่เรียกว่า content  provider  เช่นผู้ให้บริการ   web  board  หรือ web  service เป็นต้น

        ผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต
        ในฐานะบุคคลธรรมดาไม่ควรกระทำในสิ่งต่อไปนี้ เพราะอาจจะทำให้ " เกิดการกระทำความผิด"  ตาม พ.ร.บ.นี้

1.  ไม่ควรบอก  password  แก่ผู้อื่น
2.  อย่าให้ผู้อื่นยืมใช้เครื่องคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อเข้าเน็ต
3.  อย่าติดตั้งระบบเครือข่ายไร้สายในบ้านหรือที่ทำงานโดยไม่ใช้มาตรการการตรวจสอบผู้ใช้งานและการเข้ารหัสลับ
4.  อย่าเข้าสู่ระบบด้วย  user  ID  และ  password  ที่ไม่ใช่ของท่านเอง
5.  อย่านำ  user ID  และ  password  ของผู้อื่นไปใช้งานหรือเผยแพร่
6.  อย่าส่งต่อซึ่งภาพหรือข้อความหรือภาพเคลื่อนไหวที่ผิดกฎหมาย
7.  อย่ากด " remember  me  "  หรือ  " remember  password  ที่เครื่องคอมพิวเตอร์สาธารณะและ
อย่า log-in เพื่อธุรกรรมทางการเงินที่เครื่องสาธารณะ
8.  อย่าใช้  WiFi ( Wireless LAN ) ที่เปิดให้ใช้ฟรีโดยปราศจากการเข้ารหัสลับข้อมูล

               ความผิดทางอาญาตาม  พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์

1.  เจ้าของไม่ให้เข้าระบบคอมพิวเตอร์ของเขาแล้วเราแอบเข้าไป
     จำคุก 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 10,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
2.  ไปรู้วิธีการเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นแล้วไปบอกให้คนอื่นรู้ต่อ
      จำคุกไม่เกิน  1ปี  หรือปรับไม่เกิน  20,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3.  แอบไปเจาะข้อมูลของผู้อื่นที่เก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์
     จำคุกไม่เกิน  2  ปี  หรือปรับไม่เกิน  40,000 บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
4.  แอบไปดักจับข้อมูลผู้อื่นระหว่างการสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
     จำคุกไม่เกิน  3  ปี  หรือปรับไม่เกิน  60,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
5.  ไปแก้ไขข้อมูลของในระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
      จำคุกไม่เกิน  5 ปี  หรือปรับไม่เกน  10,000บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
6.  ส่ง packet  หรือ message  หรือ virus  หรือ  trojan  หรือ  woem  หรืออะไรก็ตาม
     เข้าไปก่อกวนจนระบบ  ผู้อื่น 
     จำคุกไม่เกิน  5  ปี  หรือปรับไม่เกิน  100,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
7.  ส่งข้อมูลหรืออีเมล์ให้ผู้อื่นซำๆ  โดยผู้รับไม่ได้ร้องขอ
     ปรับไม่เกิน  100,000บาท
8.  ความผิดข้อ 5. กับข้อ 6. ทำให้บุคคลทั่วไปเกิดความเสียหาย
     จำคุกไม่เกิน  10 ปี  และปรับไม่เกิน  200,000บาท
      หากก่อความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ  เศรษฐกิจ  และสังคม
     จำคุกตั้งแต่  3-5  ปี  และปรับตั้งแต่  60,000-300,000  บาท
     และถ้าทำให้ใครตายก็จะเพิ่มโทษเป็น.. จำคุกตั้งแต่ 10 ปี 20 ปี
9.  ถ้าเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์เพื่อทำให้ทำความผิดในหลายข้อข้างต้น
     จำคุกไม่เกิน  1 ปี  หรือปรับไม่เกิน 20,000  บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
10.  สร้างภาพโป้  เรื่องเท็จ  ทำการปลอมแปลง  กระทำการใดๆที่ กระทบความมั่นคง  ก่อการร้าย 
       และส่งต่อข้อมูลทั้งๆ ที่รู้ว่าผิดตามที่กล่าวมาข้างต้น
       จำคุกไม่เกิน  5  ปี  หรือปรับไม่เกิน  100,000บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
11.  เจ้าของเว็บ  สนับสนุน / ยิมยอมให้เกิดข้อ 10.
       จำคุกไม่เกิน  5  ปี  หรือปรับไม่เกิน  100,000  บาท  หรือทั้งจำทั้งปรับ
12.  เอารูปผู้อื่นมาตัดต่อแล้วเอาไปเผยแพร่ในระบบคอมพิวเตอร์
       จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน  60,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ




       

ความรู้เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต

ความรู้เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต
                                                            ความรู้เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต

ความหมายของอินเตอร์เน็ต
สำหรับคำว่า internet หากแยกศัพท์จะได้ออกมา 2 คำ คือ คำว่า Inter และคำว่า net
Inter    หมายถึง         ระหว่าง หรือท่ามกลาง
Net       มาจากคำว่า    Network หรือเครือข่าย
เมื่อนำความหมายของทั้ง 2 คำมารวมกัน จึงแปลได้ว่า การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย


อินเตอร์เน็ต  (Internet) นั้นย่อมาจากคำว่า  “International network”  หรือ  “Inter Connection  network”  ซึ่งหมายถึง  เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าไว้ด้วยกัน  เพื่อให้เกิดการสื่อสาร  และการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน  โดยอาศัยตัวเชื่อมเครือข่ายภายใต้มาตรฐานการเชื่อมโยงเดียวกัน  นั่นก็คือ  TCP/IP Protocol  ซึ่งเป็นข้อกำหนดวิธีการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย  ซึ่งโปรโตคอลนี้จะช่วยให้คอมพิวเตอร์ที่มีฮาร์ดแวร์ที่แตกต่างกันสามารถติดต่อถึงกันได้
การที่มีระบบอินเตอร์เน็ต ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายข่าวสารข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ โดยไม่จำกัดระยะทาง  ส่งข้อมูลได้หลายรูปแบบ  ทั้งข้อความตัวหนังสือ ภาพ และ เสียง โดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนับเป็นอภิระบบเครือข่ายที่ยิ่งใหญ่มาก มีเครื่องคอมพิวเตอร์หลายล้านเครื่องทั่วโลกเชื่อมต่อกับระบบ ทำให้คนในโลกทุกชาติทุกภาษาสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ โดยไม่ต้องเดินทางไป โลกทั้งโลกเปรียบเสมือนเป็นบ้านหนึ่งที่ทุกคนในบ้านสามารถพูดคุยกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย แต่เกิดประโยชน์ต่อสังคมโลกปัจจุบันมาก

ประวัติความเป็นมาของอินเตอร์เน็ต



      เครือข่ายอินเตอร์เน็ตถือกำเนิดมาในยุคสงครามเย็น  ระหว่างสหรัฐกับรัฐเซีย ในปี ค.ศ. 1960   ซึ่งกระทรวงกลาโหมประเทศสหรัฐอเมริกาเห็นว่าระบบคอมพิวเตอร์สำหรับสั่งการต้องเป็นระบบเครือข่ายที่ใช้งานได้ตลอดเวลา  หากมีการโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูที่เมืองใดเมืองหนึ่ง  ระบบคอมพิวเตอร์บางส่วนอาจถูกทำลาย  แต่ส่วนที่เหลือทำงานได้  เป้าหมายการวิจัยและการพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ดังกล่าวจึงกลายเป็นโครงการชื่อ ARPAnet หรือ Advance Research Project Agency net โดยมอบหมายให้กลุ่มมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ทำการวิจัยและเชื่อมโยงเครือข่าย  ในปี ค.ศ.  1983  ได้มีการนำ  TCP/IP Protocol หรือ Transmission Control Protocol  มาใช้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบเป็นครั้งแรก  จนกรทั่งได้กลายเป็นมาตรฐานในการติดต่อในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตมาจนถึงปัจจุบัน  ในปี  ค.ศ.  1986  มีการกำหนดชื่อโดเมน  (Domain name System)  เพื่อสร้างฐานข้อมูลในแต่ละเครือข่าย  และใช้  ISP  (Internet Service Provider)  ในการจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง  ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ทั่วโลกล้วนแต่เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและสามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างกว้างขวางและทั่วถึงกว่าเดิม
การทำงานและการเชื่อมต่อแบบต่างๆของอินเตอร์เน็ต


1. การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตรายบุคคล (Individual Connection)
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตรายบุคคล คือ การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจากที่บ้าน (Home user) ซึ่งยังต้องอาศัยคู่สายโทรศัพท์ในการเข้าสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้ต้องสมัครเป็นสมาชิกกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตก่อน จากนั้นจะได้เบอร์โทรศัพท์ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต รหัสผู้ใช้ (User name) และรหัสผ่าน (Password) ผู้ใช้จะเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตได้โดยใช้โมเด็มที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้หมุนไปยังหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต จากนั้นจึงสามารถใช้ งานอินเทอร์เน็ตได้
-องค์ประกอบของการใช้อินเทอร์เน็ตรายบุคคล
1. โทรศัพท์
2. เครื่องคอมพิวเตอร์
3. ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะให้เบอร์โทรศัพท์ รหัสผู้ใช้และรหัสผ่าน
4. โมเด็ม (Modem)
โมเด็ม คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการแปลงสัญญาณ เนื่องจากสัญญาณในคอมพิวเตอร์เป็นสัญญาณดิจิทัล (Digital) แต่สัญญาณเสียงในระบบโทรศัพท์เป็นสัญญาณอนาล็อก (Analog) ดังนั้นเมื่อต้องการเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตจึงต้องใช้โมเด็มเพื่อเป็นอุปกรณ์ในการแปลงสัญญาณดิจิทัลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณอนาล็อกตามสายโทรศัพท์ และแปลงกลับจากสัญญาณอนาล็อกเป็นสัญญาณดิจิทัล เมื่อถึงปลายทางความเร็วของโมเด็มมีหน่วยเป็น บิตต่อวินาที (bit per second : bps) หมายความว่า ในหนึ่งวินาที จะมีข้อมูลถูกส่งออกไป หรือรับเข้ามากี่บิต เช่น โมเด็มที่มีความเร็ว 56 Kpbs จะสามารถ รับ-ส่งข้อมูลได้ 56 กิโลบิตในหนึ่งวินาที
-โมเด็มสามารถแบ่งได้ 3 ประเภท คือ
1. โมเด็มแบบติดตั้งภายนอก (External modem)
เป็นโมเด็มที่ติดตั้งกับคอมพิวเตอร์ภายนอก สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก เพราะในปัจจุบันการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์จะผ่าน USB พอร์ต (Universal Serial Bus) ซึ่งเป็นพอร์ตที่นิยมใช้กันมาก ราคาของโมเด็มภายนอกไม่สูงมากนัก แต่จะยังมีราคาสูงกว่าโมเด็มแบบติดตั้งภายใน รูปที่ 6.3 แสดงโมเด็มภายนอก
2. โมเด็มแบบติดตั้งภายใน (Internal modem)
เป็นโมเด็มที่เป็นการ์ดคอมพิวเตอร์ที่ต้องติดตั้งเข้าไปกับแผงวงจรหลักหรือเมนบอร์ด (main board) ของเครื่องคอมพิวเตอร์ โมเด็มประเภทนี้จะมีราคาถูกว่าโมเด็มแบบติดตั้งภายนอก เวลาติดตั้งต้องอาศัยความชำนาญในการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ และติดตั้งไปกับแผงวงจรหลัก
3. โมเด็มสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก (Note Book Computer) อาจเรียกสั้นๆว่า PCMCIA modem
-การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยโน้ตบุ๊ก(Note book) และ เครื่องปาล์ม (Palm) ผ่าน โทรศัพท์มือถือที่สนับสนุนระบบ GPRS


โทรศัพท์มือถือที่สนับสนุน GPRS จะทำหน้าที่เสมือนเป็นโมเด็มให้กับอุปกรณ์ที่นำมาพ่วงต่อ ไม่ว่าจะเป็น Note Book หรือ Palm และในปัจจุบันบริษัทที่ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้มีการผลิต SIM card ที่เป็น Internet SIM สำหรับโทรศัพท์มือถือเพื่อให้สามารถติดต่อกับอินเทอร์เน็ตได้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น
IP Address
IP Address คือหมายเลขประจำเครื่องที่ต้องกำหนดให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องและอุปกรณ์ทุกชิ้นในเครือข่ายเน็ตเวิร์ค โดยที่หมายเลข IP Address ที่กำหนดนี้จะต้องไม่ซ้ำกัน ซึ่งเมื่อกำหนดหมายเลข IPAddress แล้วจะทำให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องและอุปกรณ์ต่างๆในเครือข่ายรู้จักกันรวมถึงสามารถรับส่งข้อมูลไปมาระหว่างกันได้ โดย IP Address จะเป็นตัวอ้างอิงชื่อที่อยู่ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง  ตัวอย่างเช่น หากคอมพิวเตอร์ A ต้องการส่งไฟล์ข้อมูลไปให้คอมพิวเตอร์ B คอมพิวเตอร์ A จะต้องรู้จักหรือมองเห็นคอมพิวเตอร์ B เสียก่อน โดยการอ้างอิงหมายเลข IP Address ของคอมพิวเตอร์ B ให้ถูกต้องจากนั้นจึงอาศัยโปรโตคอลเป็นตัวรับส่งข้อมูลระหว่าง
ทั้ง 2 เครื่อง
ลักษณะของ IP Address
IP Address จะประกอบไปด้วยตัวเลขจำนวน 4 ชุด ระหว่างตัวเลขแต่ละชุดจะถูกคั่นด้วยจุด “.” เช่น
192.168.0.1 โดยคอมพิวเตอร์จะแปลงค่าตัวเลขทั้ง 4 ชุดให้กลายเป็นเลขฐาน 2 ก่อนจะนำค่าที่แปลงได้ไป  เก็บลงเครื่องทุกครั้ง และนอกจากนี้หมายเลข IP Address ยังแบ่งออกเป็น 2 ส่วนดังนี้
1.ส่วนที่ใช้เป็นหมายเลขเครือข่าย (Network Address)
2.ส่วนที่ใช้เป็นหมายเลขเครื่อง (Host Address)
ซึ่งหมายเลขทั้ง 2 ส่วนนี้สามารถแบ่งออกตามลักษณะการใช้งานได้ 5 Class ด้วยกันได้แก่ Class A, B, C, Dและ E สำหรับ Class D และ E ทางหน่วยงาน InterNIC (Internet Network Information Center: หน่วยงานที่ได้รับการจัดตั้งจากรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการออกมาตรฐานและจัดสรรหมายเลข IP Addressให้กับคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายทั่วโลก) ได้มีการประกาศห้ามใช้งาน
- Class A หมายเลข IP Address จะอยู่ในช่วง 0.0.0.0 ถึง 127.255.255.255 มีไว้สำหรับจัดสรรให้กับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อภายในเครือข่ายจำนวนมากๆ
- Class B หมายเลข IP Address จะอยู่ในช่วง 128.0.0.0 ถึง 191.255.255.255 มีไว้สำหรับจัดสรรให้กับองค์กรขนาดกลาง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้มากถึง 65,534 เครื่อง
- Class C หมายเลข IP Address จะอยู่ในช่วง 192.0.0.0 ถึง 223.255.255.255 มีไว้สำหรับจัดสรรให้กับองค์กรขนาดเล็กและใช้กับคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสามารถต่อเชื่อมกับคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายได้ 254 เครื่อง
- Class D หมายเลข IP Address จะอยู่ในช่วง 224.0.0.0 ถึง 239.255.255.255 สำหรับหมายเลข IP Addressของ Class นี้มีไว้เพื่อใช้ในเครือข่ายแบบ Multicast เท่านั้น
- Class E หมายเลข IP Address จะอยู่ในช่วง 240.0.0.0 ถึง 254.255.255.255 สำหรับหมายเลข IP Addressของ Class นี้จะเก็บสำรองไว้ใช้ในอนาคต ปัจจุบันจึงยังไม่ได้มีการนำมาใช้งาน

Domain name
ชื่อโดเมน คือ อินเตอร์เน็ตแอดเดรสที่เป็นตัวอักษรแทนไอพีแอดเดรส (IP Address) คอมพิวเตอร์ใช้โดเมนเนมนี้เอาไว้ติดต่อกับผู้อื่นในไซเบอร์สเปซ ดังนั้น โดเมนเนมที่ดีต้องจดจำง่ายและสัมพันธ์กับธุรกิจของคุณ ดังเช่น โดเมนเนมของ Putnam (ซึ่งเป็นผู้ผลิตหนังสือเล่มที่เรานำมาใช้อ้างอิง) คือ www.putnam และมีไอพีแอดเดรส 192.251.67.92 แม้ว่าคุณจะใช้ไอพีแอดเดรสเป็น URL เพื่อนำบราวเซอร์ของคุณเข้าไปยังเว็บไซต์ของ Putnam ได้แต่โดเมนเนมจำง่ายกว่า InterNIC InterNIC ซึ่งเป็นผู้รับจดทะเบียนอินเตอร์เน็ต ตั้งอยู่ที่ Networksolutions ในเฮิร์นดัน , รัฐเวอร์จิเนีย เป็นผู้กำหนดไอพีแอดเดรสและโดเมนเนมตามข้อมูลในใบสมัครและการจ่ายค่าธรรมเนียม (คุณจะรู้ว่า Network Solutions เกิดจากความร่วมมือของ The National Science Foundation และ AT&T) โดยที่คุณจะมาดึงเอาใบสมัครและข้อมูลอื่นๆจากอินเตอร์เน็ตได้ที่ http://www.internic.net ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของ InterNIC สำหรับค่าจดโดเมนเนม 2 แรก $70 และปีถัดไปปีละ $35 โดยนับเอาวันที่ได้โดเมนเนมครบ 1 ปี
ความหมายแต่ละนามสกุล


.com : องค์กรการค้า
.org : องค์กรไม่แสวงกำไร
.net : เว็บเซิร์ฟเวอร์และเว็บไซต์ที่คอยจัดการบนอินเตอร์เน็ต
.edu : สถาบันการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัย
.gov : เว็บไซต์รัฐบาล
เพิ่มเติมสักนิดนึงคือนามสกุลตอนนี้จะมีมากกว่านี้มากเช่น .biz สำหรับ Business และมีอีกมากมาย หรือ .tv สำหรับ TV เป็นต้น
การหาโดเมนเนมที่ไม่ซ้ำคนอื่น InterNIC มีบริการให้คุณตรวจสอบโดเมนเนมที่คุณต้องการว่ามีใครเอาไปใช้หรือยัง ถ้ามีแล้ว ใครเอาไปใช้ จากบริการชื่อ WHOIS หากว่ายังไม่มีใครนำไปใช้ก็อย่าไปบอกใครก่อนได้รับคำยืนยันจาก InterNIC ว่าคุณได้ชื่ออะไรแล้ว เพราะชื่อที่จะได้มานั้นเป็นไปตามลำดับก่อนหลัง บางครั้งอาจจะมีคนที่ขอไปก่อนหน้าคุณ แต่อยู่ระหว่างดำเนินการ และยังไม่มีรายชื่อในบริการดังกล่าวก็ได้  คุณควรทราบไว้ด้วยว่าถึงแม้รูปแบบมาตราฐานของโดเมนเนมคือ www.yourname.com แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ www เพราะคำนี้มาจาก World Wide Web ซึ่งแต่ก่อนในอินเตอร์เน็ตใช้เป็นตัวบอกว่าเป็นแบบ "กราฟฟิก" ซึ่งผู้ชมจะเห็นรูปภาพต่างๆได้ แต่ทุกวันนี้อินเตอร์เน็ตเป็นกราฟฟิกทั้งหมดแล้ว คำว่า www จึงไม่ได้บ่งบอกอะไร และคงเลือนหายไปในที่สุด จึงทำให้คุณมีทางเลือกโดเมนเนมได้มากขึ้น นอกจากนี้คุณจะมีโดเมนเนมหลายชื่อก็ได้ แต่มีค่าใช้จ่ายและการดูและประจำแต่ละชื่อด้วย รวมทั้งหากคุณต้องการเปลี่ยนโดเมนเนมก็เหมือนกับขอชื่อใหม่ไปยัง InterNIC
รายละเอียดที่ใช้จด Domain Name (เพิ่มเติม)
รายละเอียดที่ใช้จด Domain Name นั้นจะมีส่วนของชื่อ ,ที่อยู่ , เบอร์โทรศัพท์ , อีเมล์ ซึ่งสำคัญมาก โดยรายละเอียดนั้นจะแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ Administrative ,Technical ,Registrant,Billing ซึ่งแต่ละส่วนสามารถมีรายละเอียดเดียวกันได้ แต่สำหรับบางนามสกุลเช่น .co.th หรือพวก .th ทั้งหลายที่จดกับ ThNIC.NET ที่อีเมล์ของ Administrative กับ Technical จะต้องเป็นคนจะอีเมล์กัน อีกส่วนหนึ่งที่ต้องกรอกคือ Domain Name Server (DNS) ซึ่งจะเป็นตัวบอกว่า Domain Name ของท่านมี Server อยู่ทีไหน (Web Hosting นั้นเอง) โดยประกอบด้วย Primary DNS , Seconary DNS
เปลี่ยนรายละเอียด (เพิ่มเติม)เมื่อทำการจด Domain Name เรียบร้อยแล้วท่านจะได้เป็นเจ้าของภายใน 24-72 ชมเป็นปกติ ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไว้ ในการจดแต่ละที่ก็จะเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนกัน เช่น ถ้าจดที Networksolutions ก็จะเปลี่ยนผ่านแบบฟอร์มและต้องใช้ Administrative E-Mail ในการยืนยันการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่มีการยืนยันก็เปลี่ยนไม่ได้ ดังนั้นอีเมล์จะสำคัญมากจะต้องใช้อีเมล์ที่ใช้งานตลอดและไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือ บางทีจะมี Login กับ Password สำหรับเข้าไปเปลี่ยนแปลงรายละเอียด โดยเมื่อมีการเปลี่ยนก็จะมีอีเมล์มาเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ไว้ยืนยัน แต่แจ้งให้ทราบเท่านั้น แต่ละที่ก็จะแตกต่างกันออกไป สำหรับการเปลี่ยนรายละเอียดที่ ThNIC.NET นั้นจะคล้ายกันกับ Networksolutions แต่จะเพิ่มมาตรงที่อีเมล์สำหรับยืนยัน อย่างที่บอกไว้ข้างต้น นั้นคือ ในการจด Domain Name กับ ThNIC.NET อีเมล์ของ Administrative กับ Technical จะต้องเป็นคนจะอีเมล์กันก็เพราะเวลาเปลี่ยนรายละเอียดจะต้องได้รับการยืนยันจากทั้ง 2 อีเมล์นี้

เว็บเบราว์เซอร์ web browser
       ประวัติทิม เบอร์เนิร์ส-ลี จากศูนย์วิจัยเซิร์น ได้คิดค้นระบบไฮเปอร์เท็กซ์ โปรแกรมค้นดูเว็บตัวแรกมีชื่อว่า เวิลด์ไวด์เว็บ แต่เว็บได้รับความนิยมอย่างจริงจังเมื่อ ศูนย์วิจัยเอ็นซีเอสเอ (NCSA) ของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เออร์แบนา-แชมเปญจน์ สหรัฐอเมริกา ได้คิดโปรแกรม โมเสก (MOSAIC) ซึ่งเป็นโปรแกรมค้นดูเว็บเชิงกราฟิก หลังจากนั้นทีมงานที่ทำโมเสกก็ได้ออกไปเปิดบริษัทเน็ตสเคป
      เว็บเบราว์เซอร์ (อังกฤษ: web browser) เบราว์เซอร์ หรือ โปรแกรมค้นดูเว็บ คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล ที่จัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ  เว็บเบราว์เซอร์ตัวแรกของโลกชื่อ เวิลด์ไวด์เว็บ ขณะเดียวกันเว็บเบราว์เซอร์ที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันคือ อินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์

 อินเตอร์เน็ตในประเทศไทย

ประเทศไทยได้เริ่มติดต่อกับอินเทอร์เน็ตในปี พ.ศ. 2530 ในลักษณะการใช้บริการ จดหมายเล็กทรอนิกส์แบบแลกเปลี่ยนถุงเมล์เป็นครั้งแรก โดยเริ่มที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (Prince of Songkla University) และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียหรือสถาบันเอไอที (AIT) ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย (โครงการ IDP) ซึ่งเป็นการติดต่อเชื่อมโยงโดยสายโทรศัพท์ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2531 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ได้ยื่นขอที่อยู่อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย โดยได้รับที่อยู่อินเทอร์เน็ต Sritrang.psu.th ซึ่งนับเป็นที่อยู่อินเทอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาปี พ.ศ. 2534 บริษัท DEC (Thailand) จำกัดได้ขอที่อยู่อินเทอร์เน็ตเพื่อใช้ประโยชน์ภายในของบริษัท โดยได้รับที่อยู่อินเทอร์เน็ตเป็น dect.co.th โดยที่คำ “th” เป็นส่วนที่เรียกว่า โดเมน (Domain) ซึ่งเป็นส่วนที่แสดงโซนของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย โดยย่อมาจากคำว่า Thailand
กล่าวได้ว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตชนิดเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง ในประเทศไทยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2535 โดยสถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 9600 บิตต่อวินาที จากการสื่อสารแห่งประเทศไทยเพื่อเชื่อมเข้าสู่อินเทอร์เน็ตที่บริษัท ยูยูเน็ตเทคโนโลยี (UUNET Technologies) ประเทศสหรัฐอเมริกา          
ในปีเดียวกัน ได้มีหน่วยงานที่เชื่อมต่อแบบออนไลน์กับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลายแห่งด้วยกัน ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ โดยเรียกเครือข่ายนี้ว่าเครือข่าย ไทยเน็ต” (THAInet) ซึ่งนับเป็นเครือข่ายที่มี เกตเวย์ “ (Gateway) หรือประตูสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นแห่งแรกของประเทศไทย (ปัจจุบันเครือข่ายไทยเน็ตประกอบด้วยสถาบันการศึกษา 4 แห่งเท่านั้น ส่วนใหญ่ย้ายการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ตโดยผ่านเนคเทค (NECTEC) หรือศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ)  ปี พ.ศ.  2535 เช่นกัน เป็นปีเริ่มต้นของการจัดตั้งกลุ่มจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษาและวิจัยโดยมีชื่อว่า "เอ็นดับเบิลยูจี" (NWG : NECTEC E-mail Working Group) โดยการดูแลของเนคเทค และได้จัดตั้งเครือข่ายชื่อว่า "ไทยสาร" (ThaiSarn : Thai Social/Scientific Academic and Research Network) เพื่อการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน โดยเริ่มแรกประกอบด้วยสถาบันการศึกษา 8 แห่ง ปัจจุบันเครือข่ายไทยสารเชื่อมโยงกับสถาบันต่างๆ กว่า 30 แห่ง ทั้งสถาบันการศึกษาและหน่วยงานของรัฐ
ปัจจุบันได้มีผู้รู้จักและใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น มีอัตราการเติบโตมากกว่า 100 % สมาชิกของอินเทอร์เน็ตขยายจากอาจารย์และนิสิตนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาไปสู่ประชาชนทั่วไป

บริการต่างๆบนอินเตอร์เน็ต 

เนื่องจากอินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกันไปทั่วโลกระบบอินเทอร์เน็ตจึงได้ถูกนำมาใช้โดยมีบริการหลากหลายรูปแบบเพื่อสนองความต้องการของผู้ใช้ เราสามารถแบ่งรูปแบบการใช้บริการบนระบบอินเทอร์เน็ตออกเป็น 5 ลักษณะ คือ
1.  บริการด้านการรับส่งข้อสารและแสดงความคิดเห็น
เป็นบริการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีเครื่องมือในการรับส่งข่าวสารและแสดงความคิดเห็น ระหว่างผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตหลายหลายวิธีการ ดังนี้
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail)
อีเมล์ หรือไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นบริการอินเทอร์เน็ตชนิดหนึ่งที่ผู้คนนิยมใช้มากที่สุด และเป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไป ให้สามารถติดต่อรับส่งข้อมูลระหว่างกันได้อย่างรวดเร็ว
อีเมล์ เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ ย่อมาจาก Electronic Mail ในภาษาไทยบางครั้งเรียกว่า จดหมายอิเล็กทรอนิกส์   ส่วนในพจนานุกรมศัพท์คอมพิวเตอร์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ใช้คำว่า ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยอีเมล์เป็นวิธีการติดต่อสื่อสารด้วยตัวหนังสือแบบใหม่ แทนจดหมายบนกระดาษ แต่ใช้วิธีการส่งข้อความในรูปของสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ จากเครื่องคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังผู้รับอีกเครื่องหนึ่ง
อีเมล์แอดเดรส (E-mail Address) คือ ที่อยู่ในอินเทอร์เน็ต หรือที่อยู่ของตู้จดหมายของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ใช้สำหรับบอกตำแหน่งของผู้รับว่าอยู่ที่ไหน
ส่วนประกอบของอีเมล์แอดเดรส ประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ ดังตัวอย่างนี้
ชื่อบัญชีสมาชิกของผู้ใช้เรียกว่า user name อาจใช้ชื่อจริง ชื่อเล่น หรือชื่อองค์กรก็ได้
ส่วนนี้คือเครื่องหมาย @ (at sign) อ่านว่า "แอท"
ส่วนที่สามคือ โดเมนเนม (Domain Name) เป็นที่อยู่ของอินเทอร์เน็ตเซิร์ฟเวอร์ ที่เราสมัครเป็นสมาชิกอยู่ เพื่ออ้างถึงเมล์เซิร์ฟเวอร์
ส่วนสุดท้ายเป็นรหัสบอกประเภทขององค์กรและประเทศ ในที่นี้คือ .co.th โดยที่ .co หมายถึง commercial เป็นบริการเกี่ยวกับการค้า ส่วน .th หมายถึง Thailand อยู่ในประเทศไทย Mailing List
หรือรู้จักกันทั่วไปในนามของ Listserv’s เป็นบริการที่ผู้ใช้สามารถเข้ากลุ่มร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อที่ตนเองสนใจโดยผ่านทางอีเมล์ โดยจดหมายที่ส่งเข้าสู่ระบบ Mailing List จะถูกส่งไปยังรายชื่อทั้งหมดที่ได้ลงทะเบียนไว้ในระบบ นอกจากนี้ยังใช้ในการลงทะเบียนเพื่อรับข่าวสารเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่มีผู้ใช้สนใจด้วย
นิวส์กรุ๊ป (Newsgroup) หรือ  ยูสเน็ต (UseNet)
นิวส์กรุ๊ป (Newsgroup) หรือ  ยูสเน็ต (UseNet) คือ การรวมกลุ่มของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน เช่น กลุ่มที่สนใจเรื่องคอมพิวเตอร์ รถยนต์ การเลี้ยงปลา การปลูกไม้ประดับ เป็นต้น   เพื่อส่งข่าวสารหรือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างกัน ในลักษณะของกระดานข่าว (Bulletin Board) บนอินเทอร์เน็ต   ผู้ใช้สามารถเลือกหัวข้อที่สนใจและสามารถแสดงความคิดเห็นได้ โดยการส่งข้อความไปยังกลุ่ม และผู้อ่านภายในกลุ่มจะมีการร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นและส่งข้อความ กลับมายังผู้ส่งโดยตรงหรือส่งเข้าไปในกลุ่มเพื่อให้ผู้อื่นอ่านด้วยก็ได้
การสนทนา (Talk)
เป็นบริการที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถพูดคุยโต้ตอบกับผู้ใช้คนอื่นๆ ที่เชื่อมต่อเข้าระบบอินเทอร์เน็ตในเวลาเดียวกัน โดยการพิมพ์ข้อความผ่านทางแป้นพิมพ์ พูดคุยผ่านทางคอมพิวเตอร์โดยมีการตอบโต้กันทันที การสนทนาผ่านทางอินเทอร์เน็ตนี้สามารถใช้โปรแกรมได้หลายโปรแกรม เช่น โปรแกรม Talk สำหรับการสนทนาเพียง 2 คน โปรแกรม Chat หรือ IRC (Internet Relay Chat) สำหรับการสนทนาเป็นกลุ่ม หรือโปรแกรมไอซีคิว (ICQ) เป็นการติดต่อสื่อสารกับคนอื่นๆ บนอินเทอร์เน็ตทางหนึ่ง คุณสมบัติที่โดดเด่นของไอซีคิวคือ การสนทนาแบบตัวต่อตัวกับคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ หรือสนทนาพร้อมกันหลายๆ คนก็ได้ และที่สำคัญคือการใช้ไอซีคิวนั้น ผู้ใช้สามารถเลือกสนทนากับใครโดยเฉพาะ   และเลือกที่จะไม่สนทนากับผู้ที่ไม่พึงประสงค์ได้
บริการด้านการติดต่อสื่อสาร
เป็นบริการที่ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสารกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อื่นได้ ในขณะที่นั่งอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของตนเอง ซึ่งมีหลายลักษณะดังนี้
การขอเข้าใช้ระบบจากระยะไกล (Telnet)
โปรแกรม Telnet เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อื่นๆ บนอินเทอร์เน็ต และสามารถใช้บริการสาธารณะต่างๆ เช่น บริการห้องสมุด ข้อมูลการวิจัย และสารสนเทศของเครื่องคอมพิวเตอร์เหล่านั้น ได้ราวกับว่ากำลังทำงานอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ ช่วยให้ไม่ต้องเดินทางไปทำงานอยู่หน้าเครื่องเหล่านั้นโดยตรง จึงถือเป็นบริการหลักที่สำคัญอย่างยิ่งของอินเทอร์เน็ต การใช้โปรแกรม Telnet ติดต่อกับคอมพิวเตอร์ในอินเทอร์เน็ตนั้น จำเป็นต้องได้รับสิทธิเป็นผู้ใช้ในระบบนั้นก่อน แต่ก็มีระบบคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายอยู่อีกจำนวนมากอนุญาตให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าใช้บริการได้
ปกติการสื่อสารทางโทรศัพท์ผู้ใช้จะต้องยกหูจากเครื่องรับโทรศัพท์และพูดข้อความต่างๆ ระหว่างผู้รับ-ผู้ส่ง แต่เมื่อใช้บริการอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นเครือข่ายการสื่อสารทั่วโลก ผู้ใช้สามารถเลือกหมายเลขโทรศัพท์ที่ต้องการติดต่อโดยพูดผ่านไมโครโฟนเล็กๆ และฟังเสียงสนทนาผ่านทางลำโพง ทั้งนี้ผู้ใช้จะต้องมีโปรแกรมสำหรับใช้งาน รวมทั้งใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นระบบมัลติมีเดีย   
  นอกจากนี้หากมีการติดตั้งกล้องวีดีทัศน์ ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของคู่สนทนาทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เข้ากับระบบอินเทอร์เน็ตแล้ว ภาพที่ได้จากการทำงานของกล้องวีดิทัศน์ ก็สามารถส่งผ่านไปทางอินเทอร์เน็ตถึงผู้รับได้ การสนทนาทางโทรศัพท์ จึงปรากฏภาพของคู่สนทนาทั้งผู้รับและผู้ส่ง บนจอคอมพิวเตอร์ไปพร้อมกับเสียงด้วย
บริการถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล
บริการการถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล หรือบริการ FTP (File Trasfer Protocol) เป็นบริการของอินเทอร์เน็ตอย่างหนึ่งที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตนิยมใช้ โดยผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ข้อมูลตัวหนังสือ รูปภาพ เสียง วีดิโอ หรือโปรแกรมต่างๆ ซึ่งการถ่ายโอนข้อมูลนั้นมีอยู่ 2 ลักษณะคือ   การถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลที่อยู่ในเครื่องของเราไปยังคอมพิวเตอร์ที่เป็นโฮสต์ (Host) เรียกว่า การอัปโหลด (Upload) ทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นสามารถใช้งานจากข้อมูลของเราได้
การที่เราถ่ายโอนไฟล์ข้อมูลจากโฮสต์อื่นมายังคอมพิวเตอร์ของเราเรียกว่า การดาวน์โหลด (Download)
ในการนำดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆ มาใช้นั้น มีบริการอยู่ 2 ประเภท คือ Private FTP หรือ เอฟทีพีเฉพาะกลุ่ม นิยมใช้ตามสถานศึกษาและภายในบริษัท   ผู้ใช้บริการจะต้องมีรหัสผ่านเฉพาะจึงจะใช้งานได้   ประเภทที่สองคือ Anonymous FTP เป็นเอฟทีพีสาธารณะให้บริการดาวน์โหลดไฟล์ข้อมูลฟรีโดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน ซึ่งปัจจุบันมีบริการในลักษณะนี้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะโปรแกรมซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ที่ทางบริษัทต่างๆ คิดค้นขึ้นมาและต้องการเผยแพร่ไปสู่สาธารณชน ก็จะนำโปรแกรมมานำเสนอไว้ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตคนใดสนใจก็สามารถใช้เอฟทีพีดึงเอาโปรแกรมเหล่านั้นมาใช้งานได้ โดยโปรแกรมที่สามารถดาวน์โหลดได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เรียกว่า ฟรีแวร์ (Freeware) และโปรแกรมที่สามารถดาวน์โหลดมาทดลองใช้ก่อน ซึ่งหากพอใจก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อตัวโปรแกรม เรียกว่า แชร์แวร์ (Shareware)
บริการค้นหาข้อมูล

เนื่องจากอินเทอร์เน็ตเป็นระบบขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมกว้างขวางทั่วโลก   โดยมีแฟ้มข้อมูลต่างๆ มากมายหลายพันล้านแฟ้มบรรจุอยู่ในระบบเพื่อให้ผู้ใช้สามารถสืบค้นใช้งาน   ดังนั้น   จึงจำเป็นต้องมีระบบหรือโปรแกรมเพื่อช่วยในการค้นหาแฟ้มได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
อาร์คี (Archie) เป็นโปรแกรมที่ช่วยในการค้นหาแฟ้มที่เราทราบชื่อ แต่ไม่ทราบว่าแฟ้มนั้นอยู่ในเครื่องบริการใดในอินเทอร์เน็ต โปรแกรมนี้จะสร้างบัตรรายการแฟ้มไว้ในฐานข้อมูล เมื่อต้องการค้นว่าแฟ้มนั้นอยู่ในเครื่องบริการใด ก็เพียงแต่เรียกใช้อาร์คีแล้วพิมพ์ชื่อแฟ้มข้อมูลที่ต้องการนั้นลงไป อาร์คีจะตรวจค้นฐานข้อมูลและแสดงชื่อแฟ้มพร้อมรายชื่อเครื่องบริการที่เก็บแฟ้มนั้นให้ทราบ เมื่อทราบชื่อเครื่องบริการแล้วก็สามารถใช้เอฟทีพีเพื่อถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล มาบรรจุลงในคอมพิวเตอร์ของเราได้

-โกเฟอร์ (Gopher) เป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูลและขอใช้บริการด้วยระบบเมนู โกเฟอร์เป็นโปรแกรมที่มีรายการเลือกเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ในการค้นหาแฟ้มข้อมูล ความหมาย และทรัพยากรอื่นๆ เกี่ยวกับหัวข้อที่ระบุไว้   โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบและใช้รายละเอียดของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงอยู่กับอินเทอร์เน็ต สารบบ หรือชื่อแฟ้มข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น   เราเพียงแต่เลือกอ่านในรายการเลือกและกดแป้น Enter เท่านั้นเมื่อพบสิ่งที่น่าสนใจ   ในการใช้นี้เราจะเห็นรายการเลือกต่างๆ พร้อมด้วยสิ่งที่ให้เลือกใช้มากขึ้นจนกระทั่งเราเลือกสิ่งที่ต้องการและมีข้อมูลแสดงขึ้นมา เราสามารถอ่านข้อมูลหรือเก็บบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ของเราได้
-Veronica เป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูลที่พัฒนาขึ้นมาจากการทำงานของระบบโกเฟอร์ เพื่อช่วยในการค้นหาข้อมูลที่ต้องการโดยไม่ต้องผ่านระบบเมนูตามลำดับขั้นของโกเฟอร์ เพียงแต่พิมพ์คำสำคัญ (Keyword) ลงไปให้ระบบค้นหาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำนั้นๆ แทน
-เวส (Wide Area Information Server-WAIS) เป็นโปรแกรมสำหรับใช้เป็นเครื่องมือที่ช่วยสืบค้นข้อมูล โดยการค้นจากเนื้อหาข้อมูลแทนการค้นตามชื่อของแฟ้มข้อมูล จากฐานข้อมูลจำนวนมากที่กระจายอยู่ทั่วโลก   การใช้งานผู้ใช้ต้องระบุชื่อเรื่อง หรือ ชื่อคำหลักที่เกี่ยวกับเนื้อหาข้อมูลที่ต้องการค้น หลังจากใช้คำสั่งค้นหาข้อมูล โปรแกรมเวสจะช่วยค้นไปยังแหล่งข้อมูลที่ต่อเชื่อมกันอยู่ในอินเทอร์เน็ต โดยจะพยายามค้นเอกสารที่เกี่ยวข้องตรงกับคำค้น หรือวลีสำคัญที่ผู้ใช้การค้นหาให้มากที่สุด
-Search Engines เป็นเครื่องมือช่วยค้นหาข้อมูลในระบบอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งเป็นลักษณะของโปรแกรมช่วยการค้นหาซึ่งมีอยู่มากมายในระบบอินเทอร์เน็ต โดยการพัฒนาขององค์กรต่างๆ เช่น Yahoo, Infooseek, Alta Vista, HotBot, Excite เป็นต้น เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ค้นหาข้อมูลสารสนเทศต่างๆ โดยผู้ใช้พิมพ์คำหรือข้อความ ที่เป็น keyword เข้าไป โปรแกรม Search Engines ก็จะแสดงรายชื่อของแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องขึ้นมา ซึ่งเราสามารถคลิกไปที่รายชื่อต่างๆ เพื่อเข้าไปดูข้อมูลตัวนั้นๆ ได้ หรือจะเลือกค้นจากหัวข้อในหมวดต่างๆ (Categories) ที่ทาง Search Engines ได้แสดงไว้เป็นเมนูต่างๆ โดยเริ่มจากหมวดที่กว้างจนลึกเข้าไปสู่หมวดย่อยได้

ข้อมูลมัลติมีเดี่ย
เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web : WWW) เป็นบริการบนอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก   เนื่องมาจากลักษณะเด่นของเวิลด์ไวด์เว็บ ที่สามารถนำเสนอข้อมูลมัลติมีเดียที่แสดงได้ทั้งตัวหนังสือ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และเสียง ซึ่งมีอยู่มากมาย และสามารถรวบรวมลักษณะการใช้งานอื่นๆ ในระบบอินเทอร์เน็ตเอาไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์   การถ่ายโอนข้อมูล   การสนทนา   การค้นหาข้อมูล  และอื่นๆ ทำให้เวิลด์ไวด์เว็บเป็นแหล่งข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก   โดยการเข้าสู่ระบบเวิลด์ไวด์เว็บ จะต้องใช้โปรแกรมการทำงานที่เรียกว่า เว็บเบราเซอร์ (Web Browser) เป็นตัวเชื่อมเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต ซึ่งโปรแกรมเว็บเบราเซอร์ที่ได้รับความนิยมได้แก่ Internet Explorer และ Netscape Navigator
 ลักษณะของเวิลด์ไวด์เว็บ คือ การนำเสนอข้อมูลต่างๆ มากมายในลักษณะหน้ากระดาษอิเล็กทรอนิกส์ ที่เรียกว่า เว็บเพจ (Web Page) เปรียบเสมือนหน้าหนังสือ หรือหน้านิตยสาร ซึ่งสามารถบรรจุข้อความ รูปภาพ และเสียงไว้ได้ด้วย โดยที่หน้าแรกของเว็บเพจ เรียกว่า โฮมเพจ (Home Page) ซึ่งภาษาที่ใช้ในการเขียนเว็บเพจ ให้สามารถดูได้ในเวิลด์ไวด์เว็บ เรียกว่า HTML (Hypertext Markup Language)    
 เมื่อเราเอาเว็บเพจหลายๆ เว็บเพจมารวมกันในแหล่งเดียวกัน เราเรียกว่า เว็บไซต์ (Web Site) เว็บไซต์แต่ละที่จะถูกเก็บไว้ในเว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) แต่ละแห่ง โดยแต่ละแห่งก็จะมีโฮสต์ของตนเองทำหน้าที่ดูแลและพัฒนาข้อมูล ซึ่งโดยปกติจะเปิดอิสระให้ทุกคนเข้าไปเปิดดูข้อมูลได้ ขอเพียงแต่ให้ผู้ใช้ทราบที่อยู่ของเว็บเซิร์ฟเวอร์นั้นๆ ซึ่งที่อยู่นี้เรียกว่า ยูอาร์แอล (Uniform Resource Locator - URL) ซึ่งแต่ละยูอาร์แอลจะมีชื่อไม่ซ้ำกัน เช่น www.hotmail.com และ www.inet.co.th เป็นต้น ส่วนประกอบของยูอาร์แอลมักจะเขียนดังตัวอย่างนี้
โฮมเพจหรือเว็บเพจของแต่ละเว็บไซต์ จะมีทั้งข้อความและรูปภาพ ซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม เอกสารเหล่านี้จะมีข้อความที่บรรจุอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นหัวข้อ กลุ่มคำ หรือรูปภาพที่สัมพันธ์กับเนื้อหา แต่ไม่ได้แสดงเนื้อหาทั้งหมดไว้ในหน้าเดียว หากแต่มีคำสำคัญที่เน้นเป็นจุดเด่น มีสีสันชัดเจน หรือขีดเส้นใต้ไว้ ซึ่งโดยทั่วไปถ้าเราเอาเมาส์ไปวางไว้บนข้อความหรือรูปภาพนั้นๆ สัญลักษณ์ของเมาส์ก็จะเปลี่ยนจากรูปลูกศรมาเป็นรูปมือ ถ้าหากผู้ใช้ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ก็คลิกที่ข้อความหรือรูปภาพนั้น เว็บเพจที่เกี่ยวข้องกับข้อความหรือรูปภาพนั้นก็จะถูกเปิดขึ้นมา ลักษณะเช่นนี้เราเรียกว่าการเชื่อมโยงด้วย ไฮเปอร์ลิงก์ (Hyperlink) ซึ่งทำให้เราสามารถเชื่อมโยงหรือลิงก์ไปยังเว็บเพจอื่นๆ ในเว็บไซต์เดียวกัน และลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ได้อย่างไม่จำกัด


การใช้งานอินเตอร์เน็ต




ที่มา:   http://www.kruyoon.com/index.php?option=com_content&view=article&id=9:2010-01-31-13- 23-  44&catid=1:2010-01-27-15-31-00